(ต่อ) จุดหมายวันแรก ผาหมากดูก
ผมกางเต้นท์เสร็จเรียบร้อยประมาณ 5 โมงนิดๆ เลยคุยกันว่าจะเดินเท้าไปดูพระอาทิตย์ตกกันที่ผาหมากดูก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดกางเต้นท์ครับ แต่ปรากฎว่าเราเดินไม่ทันเห็นดวงอาทิตย์ตกดิน เพราะเดินถึงเวลา 6 โมง 10 นาที คือมันมึดเร็วมาก

อย่างที่บอกว่ากว่าจะกางเต้นท์เสร็จก็เย็นมากแล้วครับ อากาศด้านบนเริ่มเย็นสบายมากๆ ดูแผนที่จะต้องเดินไปก็คือเดินประมาณ 2.2 กิโลเมตรทีเดียว ก็เลยรีบออกมากันครับ บรรยากาศ 2 ข้างทางในช่วงพลบค่ำก็สวยงามมากๆ เดินไปถ่ายรูปไปเพลินสุดๆ

ทำให้นั่งพักที่ผาหมากดูกสักพักก็เลยตัดสินใจเดินกลับกันครับ จากผาหมากดูกเราเดินกลับอีก 1 ชั่วโมง ทำให้ถึงที่พักกันในเวลา 1 ทุ่มนิดๆคร้าบ.. ท้องเริ่มหิว อาบน้ำอาบหนาวๆที่ห้องอาบน้ำรวม และหาร้านกินข้าวเย็นที่มีให้เราเลือกเยอะพอสมควร


ร้านอาหารบนภูกระดึง
จุดบริการและร้านอาหารข้างบนภูกระดึงจะถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยมากๆครับ ก็ต้องบอกว่าข้างบนนี้มีครบครันทุกอย่างจริงๆ ส่วนราคาอาหารตามสั่งก็อยู่ราวๆ 50-60 บาทครับ แต่ที่จะแพงหน่อยก็จะเป็นน้ำดื่มขวดที่ขายขวดละ 50 บาท!!! หมูกระทะ ชาบู ส้มตำไก่ย่าง ฯลฯ มีครบ!

อากาศในช่วงตุลาคมบนภูกระดึง
ในช่วงต้นเดือนตุลาคมเป็นช่วงที่ภูพึ่งเปิดให้นัดท่องเที่ยวได้ขึ้นไป ทำให้ช่วงนี้คนยังไม่ค่อยเยอะมากนัก เนื่องจากเป็นช่วงปลายฝน ที่ฝนอาจจะยังคงตกอยู่.. แต่อากาศข้างบนก็กำลังเย็นสบาย กลางวันก็ 25-30 องศา ส่วนกลางคืนอุณหภูมิอยู่ราวๆ 15-17 องศาเท่านั้นครับ



เช้าวันที่ 3 ทริปเดินป่าเที่ยวน้ำตกเที่ยวผาบนภูกระดึง
ก่อนออกเดินทางเช้านี้ ผมหามื้อเช้าตุนพลังไว้เดินทางไกลกัน กาแฟสด กับโจ๊กหมูอร่อยๆ (50 บาท) พร้อมออกเดินเท้าตอน 9 โมงเช้าครับ โดยเส้นทางที่แพลนไว้วันนี้ จากศูนย์วังกวาง – น้ำตกวังกวาง – น้ำตกเพ็ญพบใหม่ เดินลัดน้ำตกต่างๆ มาเรื่อยๆ – สระอโนดาต แล้วมาดูดวงอาทิตย์ตกดินที่ ผาหล่มสัก … ซึ่งเราไม่ต้องกลัวหลงทางเพราะมันมีป้ายบอกทางตลอด



จุดหมายแรก.. น้ำตกวังกวาง
จากศูนย์วังกวางเดินออกมาได้นิดเดียวก็มาถึงน้ำตกวังกวางแล้วครับ เป็นน้ำตกที่อยู่จุดกางเต้นท์มากที่สุด ทางสบายๆเดินชิวๆ ช่วงที่ผมไปน้ำเริ่มน้อยแล้ว มีน้ำไหลเอื่อยๆ ให้เดินลงไปถ่ายรูปสวยๆตรงโขนหินตรงกลางน้ำตกได้ น้องกวางที่ศูนย์ลงมากินน้ำที่น้ำตกแห่งนี้แหละ

น้ำตกวังกวาง – น้ำตกเพ็ญพบใหม่
จากน้ำตกวังกวางผมเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ เพื่อไปน้ำตกเพ็ญพบใหม่ครับ ระหว่างทางก็ขึ้นเนินลงเนินเบาๆไม่ได้เหนื่อยกันสักเท่าไหร่ ตามทางจะเป็นป่าโปร่งๆ มีทากบ้างประปรายตามทางแต่ไม่ดุร้าย.. เห็นแดดร้อนๆ แต่อากาศไม่ร้อนครับ เดินสบายๆ


ระยะทางเดินทางศูนย์วังกลาง มายังน้ำตำเพ็ญพบใหม่ประมาณ 2.5 กม. เท่านั้นครับ
ใบเมเปิ้ล… น้ำตกเพ็ญพบใหม่
ช่วงที่ผมไปใบต้นเมเปิ้ลยังเป็นสีเขียวอยู่เลยคร้าบ ถ้าจะรอให้เป็นสีส้มสีแดงสวยเห็นว่าจะต้องเป็นช่วงธันวาคม.. ก็จะได้ฟิลโรแมนติกขึ้น น้ำจะแห้งๆ แต่ช่วงนี้น้ำมีไหลให้เห็นเป็นน้ำตกอยู่ ทำให้เราได้รูปสวยๆเป็นม่านใต้น้ำตกเพ็ญพบใหม่ที่อยู่ด้านหลังของน้ำตกคร้าบ สวยมากกกกก ไว้รอใบเมเปิ้ลสีแดงแล้วจะต้องมีอีก



เดินลัดตามเส้นทางน้ำตกจนถึงน้ำตกถ้ำใหญ่
เส้นทางจากน้ำตกเพ็ญพบใหม่ไปยังน้ำตกถ้ำใหญ่จะเปลี่ยนอารมณ์ของการเดินเมื่อช่วงต้นทางแล้วครับ เดินทางลาดลงเรื่อยๆช่วงนี้ป่าก็จะชื้นขึ้นดิบขึ้น เป็นเส้นทางเล็กๆ ที่ต้องเดินลัดเลาะสลับกับบันได เดินลงทางชันไปตามเส้นทางน้ำตกครับ..

หลังจากน้ำตกเพ็ญพบ (เพ็ญพบเฉยๆ) มายังน้ำตกถ้ำใหญ่ ก็จะต้องเริ่มเดินไต่ทางชันขึ้นแล้ว ในบางช่วงบางจังหว่ะก็ทำเอาเมื่อยอยู่พอสมควร พื้นดินช่วงนี้เป็นทรายบ้าง มีต้นไม้ดอกไม้ มีมอสสวยๆเกาะอยู่ตามขอนไม้บ้าง เห็ดหน้าตาแปลกๆบ้าง ลองสังเกตุตามพื้นดูนะคร้าบ

น้ำตกเพ็ญพบ ระยะทาง 3.3 กม. จากศูนย์วังกวาง
เราถึงตรงนี้ก็ประมาณช่วงเที่ยงๆ ครับ แนะนำให้นั่งพักทานข้าวห่อเติมพลังกันบริเวณนี้ อย่าลืมเก็บถุงขยะต่างๆ กลับมาให้เรียบร้อยด้วยนะครับ เพราะถ้าถุงหรือขยะไหลไปตามน้ำแล้วสัตว์ป่ากินเข้าไป.. จะเป็นอันตรายกับสัตว์ป่าครับ


เห็นว่าช่วงใบเมเปิ้ลสีแดงสวย จุดน้ำตกถ้ำใหญ่ก็จะเป็นอีกจุดนึงที่ถ่ายรูปกับใบเมเปิ้ลได้สวยมากๆครับ ตลอดเส้นทางเดินจะเป็นธารน้ำเล็กๆ และก็จะมีต้นเมเปิ้ลอยู่เป็นระยะๆ ตอนที่มันเป็นสีเขียวเราอาจจะสังเกตุยากหน่อย แต่ถ้าแดงเมื่อไหร่ จะทำให้บริเวณนี้งดงามมากๆ




น้ำตกถ้ำใหญ่ เดินผ่านทุ่งหญ้าไปสระอโนดาต
เมื่อเราเดินขึ้นมาถึงเส้นทางไปสระอโนดาต เราก็จะได้สัมผัสป่าอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือ “ป่าสนครับ” ฟิลล์การเดินป่าในช่วงนี้ก็จะเริ่มแปลกตาขึ้น ป่าโปร่งๆ โล่งๆ กับวิวต้นสนสูงไปจนถึงแนวทุ่งหญ้าสุดสายตา ที่ตามทางก็จะได้เห็นต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงขึ้นแซมตามทางเป็นจำนวนมาก

ถ้าใครเคยได้ยินข่าวไฟไหม้ป่าที่ภูกระดึง ก็จะมีอยู่ช่วงนึงที่เราจะเดินผ่านป่าสนน้อยๆเป็นจำนวนมาก ป่าสนบริเวณนี้เป็นสภาพป่าที่เคยถูกไฟไหม้มาก่อน เป็นป่าใหม่ที่กำลังฟื้นตัวจึงเกิดเป็นต้นสนสวยๆเล็กๆกระจายอยู่ตามทางเป็นจำนวนมากครับ




สระอโนดาตบนภูกระดึง
จากน้ำตกถ้ำใหญ่จะต้องเดินอีกประมาณ 3 กิโลเมตร เราจะเจอกับจุดหมายที่เป็น Landmark สำคัญอีกแห่งนึงบนภูกระดึงที่ใครก็ต้องการไปให้ถึงก็คือ “สระอโดดาต” นั่นเองครับ ที่นี่เป็นสระน้ำขนาดใหญ่บนภูกระดึงซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญมากๆ ของบรรดาสัตว์ป่าน้อยใหญ่ เพราะจะมีน้ำขังอยู่ตลอดทั่งปีให้ดื่มกินครับ

จุดพักผ่อนบริเวณสระอโนดาตแห่งนี้เราสามารถนั่งพักเอาแรง เพราะค่อนข้างเหนื่อยและเมื่อยจากการเดินทางมาตลอดจากน้ำตกเพ็ญพบ น้ำใสสะอาดเย็นๆ สามารถใช้ล้างหน้าล้างตาเพื่อปลุกความสดชื่นและคลายร้อนได้




สระอโนดาต เดินต่อไปถึงผาเหยียบเมฆ
เรานั่งพักกันได้ประมาณ 30 นาทีก็ต้องเดินเท้ากันต่อครับ เพราะว่ากลัววไม่ทันชมอาทิตย์ตกดินที่ผาหล่มสัก จากตรงสระอโนดาตเราต้องเดินอีกตั้ง 5.5 กม. ซึ่งต้องเดินออกไปยังผาเหยียบเมฆ แล้วเดินลัดหน้าผาต่างๆ ไปยังผาหล่มสักครับ

จริงๆ เราตั้งใจเดินมาทานข้าวเที่ยงกันตรงร้านอาหารตามสั่งที่ผาเหยียบเมฆ แต่เชื่อหรือไม่ว่าร้านอาหารเพิงตรงนี้มันปิด! ทำให้ผมต้องแบกท้องหิวๆช่วงบ่ายโมงกว่าๆ เดินไปต่อยังผาหล่มสักครับ

จากผาเหยียบเมฆ เดินเรื่อยๆ(แต่เหนื่อย&เมื่อย)ไปถึงผาหล่มสัก
อีก 4.3 กม. ระยะทางตรงนี้เดินไม่ยากแล้ว เพราะทางค่อนข้างสวยงามตลอดสองข้างทาง ตลอดเส้นทางก็จะเป็นป่าสนสวยๆ ที่วิวฝั่งซ้ายจะเป็นทิวเขาและหน้าผาสูงชัน เราก็จะได้แวะพักเหนื่อยและถ่ายรูปกับจุดผาชมวิวสวยๆกันหลายจุดเลยทีเดียวครับ

เส้นทางนี้ในหลายๆช่วงจะมีทางที่เป็นทรายบ้างตลอดระยะทางครับ ผมสงสัยเลยไปหาข้อมูลมาเสริมก็ได้ความว่า ภูกระดึงเป็นหินทรายยอดตัด จึงเกิดเป็นทรายที่เกิดจากการผุพังของหินนั่นเองครับ




นอกจากเส้นทางที่เต็มไปด้วยป่าสนสวยๆแล้ว ก็ยังมีพันธุ์พืชนานๆ ชนิดให้เราได้เก็บเกี่ยวภาพถ่าย รวมถึงสัตว์ชนิดเล็กอย่างพวกตั๊กแตน ผีเสื้อสวยๆ ก็มีให้เห็นบ้างประปรายคร้าบ

ดูดวงอาทิตย์ตกดินที่ผาหล่มสัก
ผมเดินถึงที่ผาหล่มสักในเวลาประมาณ 15.25 ครับ จะบอกว่าหิวมากกเพราะยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเลย ได้กินแต่ช็อกโกแลตและขนมรองท้องมาตลอดทาง แต่ที่นี่มีร้านอาหารร้านน้ำอยู่ 4-5 ร้านได้ ราคาข้าวต่อจานจะอยู่ราวๆ 60-70 บาทได้ครับ

แต่สิ่งที่ค่อนข้างแพงก็คือ น้ำ อย่างน้ำอัดลมขวดเล็ก ขวดละ 40 บาทคร้าบ แต่ถามว่าซื้อกินไหม… ซื้อสิปัดโถ่ ไม่น่าถาม เดินมาเพลียๆขนาดนี้ร่างกายต้องการน้ำหวานและความสดชื่นจากน้ำอัดลมที่สุด

สรุปเดินจากศูนย์วังกวาง-ผาหล่มสัก 9.00 – 15.30!
จากการเดินตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย 3 ครึ่ง เราเดินไม่ต่ำกว่า 10 กิโลเมตรครับ แต่ดีหน่อยที่อากาศค่อนข้างเย็นสบาย ไม่ร้อนไม่อ้าว ทำให้ผมได้เดินสัมผัสบรรยากาศป่าสนและทุ่งหญ้าสวยๆ ตลอดการเดินเท้าครับ

เมื่ออิ่มท้อง พักผ่อนไป 1 ตื่น ที่ร้านอาหาร ณ ผาหล่มสัก ก็ต้องไปจับจองที่นั่งชมพระอาทิตย์ตกและถ่ายรูปสวยๆกันแล้วคร้าบ.. แต่สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เพราะเมฆค่อนข้างหนา ทำให้เราไม่ได้บรรยากาศดวงอาทิตย์สีส้มสวยๆมาฝากกัน ก็เลยตัดสินใจเดินกลับตอนเวลา 17.20 ครับ

แต่สิ่งที่ผมอยากแชร์ประสบการณ์จุดนี้ก็คือว่า… มันมึดเร็วมากครับ ตลอดทางเดินกลับจากผาหล่มสัก – ศูนย์บริการวังกวางไม่มีไฟเลย และทางเดินก็จะมีน้ำถ่วมขังเป็นระยะๆ เป็นโคลนบ้างเป็นทรายบ้างเฉอะเฉะพอสมควร และอากาศก็หนาวเย็นลงเฉียบพลันครับ อาจจะต้องระวังทากกันสักนิดนึง

ในที่สุดผมก็เดินมาถึงจุดกางเต้นท์ตอนเวลา 2 ทุ่มนิดๆ ซึ่งจะใช้เวลาเดินกลับประมาณ 3 ชั่วโมงครับ ทางนี้จะใกล้กว่าตอนขามา เพราะไม่ได้เดินอ้อม และต้องเดินกลับมาอีกทางหนึ่งจนมาถึงผาหมากดูก.. ผาเดียวกับวันแรกที่ผมเดินครับ

การเดินเท้าทั้งวี่ทั่งวันบนภูกระดึง ส่งผลให้เท้าพองอย่างที่เห็น ! รู้อย่างนี้เช่าจักรยานปั่นชิวๆ ไม่ต้องเมื่อยตรีนดีกว่าครับ.. สรุปว่ากลับมาถึงก็หิวโซ อากาศก็เย็น รีบล้างเนื้อล้างตัวเข้านอนอย่างรวดเร็วครับ

ตอน 4 ทุ่ม ก็จะมีเสียงประกาศตามสายของเจ้าหน้าที่ถึงระเบียบการพักที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ตอนแรกก็แอบงงๆ แต่ก็เข้าใจได้ว่าที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่จะมีนักท่องเที่ยวมาเป็นจำนวนมาก (เห็นว่าช่วงมากสุดถึงประมาณ 5,000 กว่าคน) ทำให้ต้องมีการจัดการดูแล และมีกฎการอยู่ที่พักอย่างรัดกลุ่ม

ตื่นเช้าตอนตี 5 ครึ่งของวันที่ 3
อากาศเย็นและชื้นทำให้เต้นท์ของผมเต็มไปด้วยน้ำค้างและเปียกมาก ถึงฝนไม่ได้ตก แต่สภาพเต้นท์และพื้นหญ้าเหมือนฝนตกเลยครับ สิ่งที่ชอบก็คือ อากาศที่ตื่นมาแล้วสดชื่นมากๆ ไม่มีมลพิษและ PM2.5 ทำให้ผมสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอดจริงๆ

ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวเก็บเต้นท์ให้เสร็จก่อนที่อากาศจะร้อนครับ ที่ต้องใช้เวลาสักพักก็คือผมต้องผึ่งเต้นท์ให้แห้งก่อนเก็บลงกระเป๋า เพราะไม่อย่างนั้น น้ำหนักของเต้นท์ที่ผมจะต้องแบงลงภูก็จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ขาลงภูกระดึง.. ฝนตก ทางลื่น
ผมเก็บของเสร็จและเดินออกจากจุดกางเต้นท์วังกวางประมาณ 9.15 ครับ ตอนนี้แดดเริ่มออก อากาศเริ่มร้อนแล้ว.. แต่ขณะเดินลงภูกระดึงนั้นกลับมีเมฆหนาเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้ฝนเริ่มตกในช่วงกลางทางขาลง

ทำให้การเดินลงภูของวันนี้ค่อนข้างทุลักทุเลและต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น เพราะทางลงจะลื่นและเฉอะเฉะมากๆ ครับ และขาลงผมไม่ได้ใช้บริการลูกหาบ จึงต้องแบกสัมภาระกว่า 13 กก.พร้อมขยะ ลงมาจากบนภูกระดึงด้วยครับ

ในที่สุดผมก็เดินลงถึงจุดบริการที่ด้านล่างในเวลา 14.15 ซึ่งก็ใช้เวลาเดินลงเร็วกว่าตอนเดินขึ้นเล็กน้อยเพราะฝนตกด้วย สรุปจากจุดกางเต้นท์ด้านบน ผมใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงในการเดินลงมาถึงศูนย์บริการด้านล่างคร้าบ

ที่ศูนย์บริการด้านล่างจะมีห้องอาบน้ำให้เราได้ล้างเนื้อล้างตัวก่อนเดินทางกลับครับ.. ให้เราเดินเลยมาตรงบริเวณลานจอดรถที่อยู่ด้านในเล็กน้อยครับ.. สรุปผมได้ออกจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึงในเวลา 15.00 เดินทางกลับกรุงเทพในวันนั้นกันเลยคร้าบ

สิริรวมจากอุปกรณ์ตรวจจับการเดินได้ข้อมูลการเดินทั้งหมดมาถึง 22 กิโลเมตร 38,000 ก้าว ค่าใช้จ่ายหลักๆ ก็จะเป็นค่าเดินทาง (ค่าน้ำมัน) ค่าทางด่วน ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายจิปาถะในการเข้าอุทยานฯ และค่ากินที่ด้านบนจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงกว่าปกติครับ แต่ก็ถือว่าสะดวกสบายไม่ลำบากเลย

ใดๆก็คือ การเดินทางท่องเที่ยวบนภูกระดึงค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะตลอดทางเดินขึ้น-ลง มีร้านอาหารร้านน้ำตลอดทาง และด้านบนก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบ ทั้งร้านอาหาร น้ำดื่ม ห้องน้ำ บ้านพัก และการเดินก็ไม่ได้ลำบากเท่าไหร่ แต่ก็ได้สัมผัสถึงธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา.. สิ่งนี้เองที่อาจทำให้ภูกระดึงเป็นจุดหมายปลายทางอีกแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยม และมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาพิสูจน์ความอดทนเป็นจำนวนมากครับ
ขอให้เพื่อนๆทุกคนเดินเที่ยวภูกระดึงอย่างมีความสุข และรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมสัตว์ป่ากันด้วยนะครับ

(แถม) คำแนะนำอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการท่องเที่ยวบนภูกระดึง
รองเท้าแตะ, หมวกกันแดด, พลาสเตอร์ปิดแผล, ไฟฉาย, ทิชชู่เปียก, เสื้อกันหนาว, เสื้อกันฝน, ยานวดขานวดเท้า, สเปรย์กันทาก (สเปรย์กันยุงได้) ขวดน้ำพกติดตัว, ครีมกันแดด, พาวเวอร์แพงค์, ยาประจำตัว (ข้างบนมีขายยาสามัญประจำบ้านครบ)

กดติดตามผมที่ Facebook เพราะมีคอนเทนต์อื่นๆอีกเพียบ itubb.net
Facebook facebook.com/itubb
และรับรีวิวอัพเดทจากบล็อกเกอร์ได้ทาง LINE Official Account
กดแอดเลย
